อลูมิเนียมที่เกิดจากการอโนไดซ์ จะงอกขึ้นที่ผิวและส่วนหนึ่งจะกินลงไปที่เนื้อผิวเดิม ในอัตราส่วนเท่าๆกัน ตัวอย่างเช่น การอโนไดซ์ความหนาอลูมิเนียมที่ 2 ไมโครเมตร ดังนั้นชิ้นงานจะมีความหนาเพิ่มขึ้นเพียง 1 ไมโครเมตร( เพราะอีก 1 ไมโครเมตรจะกินลงไปในผิวเดิม )
หากการทำอโนไดซ์ ทำขึ้นในสารละลาย( ที่อลูมิเนียมออกไซด์สามารถละลายได้) เช่น กรดกัมมะถัน หรือ กรดโครมิคค ขนาดของรูพรุนที่เกิดขึ้นจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 10-15 นาโนเมตร ก่อตัวเป็นชั้นบางๆที่ผิว สามารถก่อตัวหนาขึ้น รูพรุนที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนท่อทรงหกเหลี่ยมปลายเปิด ซึ่งยังสารมารถถูกกัดกร่อนได้หากไม่มีการปัดผนึกปลายทรงกระบอกนี้ โดยทรงกระบอกเล็กๆนี้จะเป็นที่บรรจุสีหรือสารป้องกันการกัดกร่อน ซึ่งเราต้องปิดปลายกระบอกนี้เพื่อกักเก็บสีหรือสารป้องกันการกัดกร่อนไว้ภายใน
การอโนไดซ์อลูมิเนียมมีด้วยกัน 3 ชนิดหลักๆ ( ตาม MIL-A-8625X) คือ
Type I - Chromic Acid Anodization
Type II – Sulphuric Acid Anodization
Type III – Sulphuric Acid hardcoat Anodization
และยังมีวิธีการอโนไดซ์อื่นๆอีก คือ ตาม MIL-A-63576 , AMS2469 ,AMS2470,AMS2471,AMS2472,AMS2482,ASTM B580,ISO 10074 และ BS5599
ก่อนการทำอโนไดซ์ เราควรต้มชิ้นงานอลูมิเนียมดัวยผงซักฟอกหรือน้ำยาล้างจานหรือสบุ่หรือสารชะล้างไขมัน เพื่อขจัดคราบไขมัน ก่อนที่จะนำชิ้นงานไปกัดในโซดาไฟ
ในการชุบอโนไดซ์ เราจะใช้กระแสไฟฟ้าตรงผ่านไปยังอลูมิเนียมชิ้นงานที่แช่อยู่ในสารละลายสำหรับชุบ กระแสไฟฟ้าจะปล่อยไฮโดรเจนออกที่ขั้วลบและเริ่มสร้างอลูมิเนียมอ๊อกไซด์ที่ผิว โดยจะเกิดปฏิกิริยาเคมีดังสมการ
ขั้วบวก 2AI+3H2O > AI2O3+6H++6E-
ขั้วลบ 6H+ +6e- > 3H2
ดังนั้นปฏิกิริยาโดยรวมคือ 2AI + 3H2O . AI2O3 + 3H2
องค์ประกอบอื่นๆ เช่น ความเข้มข้นของสารละลายอโนไดซ์ อุณหภูมิของสารละลายอโนไดซ์ กระแสไฟฟ้าที่ใช้ ล้วนแต่มีผลต่อการก่อตัวของชั้นอลูมิเนียมอ๊อกไซด์ ความหนาของชั้นอาจแตกต่างกันหลยเท่า เมื่อเงอื่นไขและองค์ประกอบเปลี่ยนไป ชั้นของอ๊อกไซด์ที่เกิดจะเพิ่มความแข็งแรงและความสามารถใรการทนการกัดกกร่อน อ๊อกไซด์ที่เกิดจะก่อตัวเป็นรูปท่อหกเหลี่ยมเรียงตัวกัน ความหนาของท่อนี้เริ่มตั้งแต่ 5 ไมโครเมตร ซึ่งจะให้ชิ้นงานสว่างใส จนถึง 150 ไมโครเมตรสำหรับใช้งานทางด้านสถาปัตยกรรม
การทำอโนไดซ์ด้วนกรดโคโรมิก
วิธีการทำอโนไดซ์แบบนี้เป็นวิธีการดั้งเดิม รุ้จักกันว่าเป็นวิธีแบบ Type I ตามมาตรฐาน MIL-A-8625 และ รวมอยู่ใน Type IB ตามมาตรฐาน AMS2470 และ MIL-A-8625 วิธีการใช้กรดโคโรมิกเป็นสารละลายหลักนี้ จะให้ความหนาของชั้นฟิล์มบางตั้งแต่ 5 ไมโครเมตรถึง 18 ไมโครเมตรและผิวชิ้นงานที่ทึบแสง แผ่นฟิล์มที่ได้จะอ่อนนุ่ม ยากต่อการชุบสี เหมาะสำหรับเป็นการเตรียมพื้นก่อนน้ำไปพ่นสี การใช้กระแสไฟจะต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามขบวนการชุบ
การทำอโนไดซ์ด้วยกรดซัลฟูริค
เป็นวิธีการที่นิยมใช้กันมาที่สุดโดยใช้กรดซัลฟูริคเป็นสารละลายหลัก เราเรียกว่าเป็นวิธี Type II ซึ่งจะให้ความหนาของชั้นฟิล์มปานกลางตั้งแต่1.8 ไมโครเมตร ถึง 25 ไมโครเมตร I ตามมาตรฐาน MIL-A-8625 การชุบหนากว่า 25 ไมโครเมตร เราเรียกว่าเป็นการชุบแบบหนา Type III – Sulphuric Acid hardcoat Anodization
การชุบบางมากๆ(โดยใช้กรดซัลฟูริคเป็นสารละลายหลัก) คล้ายๆกับวิธีการใช้กรดโคโรมิก เราเรียกวิธีนี้ว่า Typr IIB
การชุบหนามากๆต้องการกระบวนการและเครื่องมือในการควบคุมอุณหภูมิ โดยใช้เครื่องทำความเย็นหล่อสารละลายน้ำยาชุบให้ใกล้จุดเยือกแข็ง(ของน้ำ)และใช้กระแสไฟฟ้าสูงกว่าแบบบาง การชุบแบบหนา ให้ความหนาของชั้นฟิล์มตั้งแต่ 25-150 ไมโครเมตร การชุบอโนไดซ์หนาจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกัดกร่อน มีผิวลื่นทนต่อการเสียดสี กันความชื้น และ เป็นฉนวนไฟฟ้า
การทำอโนไดซ์ด้วยกรดอินทรีย์เคมี
การใช้สารละลายกรดอินทรีย์เคมีอย่างกรดออกซาลิค จะให้สีสันภายในโดยไม่ต้องชุบสี สีที่เกิดขึ้นแปรเปลี่ยนไปตามชนิดของโลหะผสม ความหนาของชั้นฟิล์มสามารถทำได้ถึง 50 ไมโครเมตร การชุบแบบนี้เรียกว่า Type IC กำหนดโดย
MIL-A-8625
การทำอโนไดซ์ด้วยกรดฟอสฟอริก
การใช้กรดฟอสฟอริกเป็นสารละลายตัวกลางในการชุบ โดยปกติจะใช้เตรียมพื้นผิวเพื่อใช้งาน adhesives อธิบายตามมาตรฐาน ASTIM D3933
การปิดผนึกท่อ
กระบวนการชุบอโนไดซ์แบบ Type I , II , III จะสร้างรูพรุนขนาดเล็กๆที่ผิว ซึ่งสารมารถดูดซับสีย้อมและคงความลื่นไว้ได้ แต่ยังไม่สามารถทนต่อการกัดกร่อนได้ การปิดผนึกปลายท่อทำได้โดยการจุ่มแช่ในน้ำเดือด ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่ไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากประสิทธิภาพในการป้องกันการขีดข่วนจะน้อยลง 20 % การชุบปิดด้วย เทฟล่อน นิเกิลอาซิเคท โคบอลอาซิเคท และ โซเดียมไมโครเมท/โปรแตสเซียมไดโครเมท จะให้ผลสมบูบณ์ที่สุด
เครดิต : www.tcmetal2549.com
|